Blog

หลายคนพูดว่า “ต้องรักตัวเองก่อน ถึงจะรักคนอื่นได้”แต่คำถามคือ…แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า เรารักตัวเอง “จริง ๆ” การรักตัวเองไม่ใช่การเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่สนใจคนอื่น  ไม่ใช่การปลอบใจตัวเองเวลาเจอเรื่องยากๆให้ผ่านๆไป และไม่ใช่การทำทุกอย่างให้ตัวเองสบายเสมอไปหรือที่เรียกว่าการสปอยล์ตัวเอง  แต่การรักตัวเองคือการ ซื่อสัตย์กับความต้องการภายใน รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรอย่างแท้จริง เลือกสิ่งที่ดีต่อตัวเราในระยะยาว กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่จะไม่ส่งผลดีกับเราในระยะยาว  วันนี้เราชวนมาสำรวจว่า…ตอนนี้คุณกำลังรักตัวเองอยู่รึเปล่าค่ะ เราฟังความรู้สึกตัวเองอย่างแท้จริงรึเปล่า คนที่รักตัวเองจะไม่ปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้น ว่า ไม่เป็นไรหรอก หรือ ฉันไม่ควรรู้สึกแบบนี้ หรือ เดี๋ยวก็หาย แต่เราจะให้พื้นที่กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น นั่งอยู่กับความรู้สึกนั้น พูดกับตัวเองเหมือนเพื่อนรัก ให้เราลองคิดว่า ถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น เป็นคนที่เรารักมาก เราจะพูดยังไงกับเค้า ให้เราพูดแบบนั้นกับตัวเอง เราจะไม่ตัดสินความเศร้า เหนื่อย หรือความรู้สึกเปราะบาง ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ลองสังเกตตัวเองดู… ในวันที่รู้สึกแย่เราหันมาฟังหัวใจตัวเองหรือรีบเบี่ยงเบนความรู้สึกนั้นออกไป? กล้าตั้งขอบเขต หรือ Set Boundary กับสิ่งที่ไม่ดีต่อใจมั้ย? การรักตัวเองแปลว่า เรากล้าพูดว่า “ไม่” กับสิ่งที่ทำร้ายพลังงานของเรา ไม่ว่าจะเป็นคน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ภาระงานที่เกินกำลัง การตั้งขอบเขต (boundaries) คือการเคารพตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพราะเป็นการปกป้องตัวเอง จากสิ่งที่จะเข้ามาบั่นทอนความรู้สึก ความคิด […]

เชื่อมั้ยคะว่าคำบางคำสั้น ๆ แต่อาจจะมีความหมายลึกซึ้ง และตรงกับกับใจเราอย่างไม่น่าเชื่อ ข้อความสั้นๆ แต่กลับฝังลึกในใจเราไปตลอดชีวิต หนังสือ Good Vibes, Good Life ผลงานของ Vex King คือหนึ่งในเล่มที่สามารถสร้างพลังบวกให้เรา จากคำพูดสั้นๆ ประโยคที่ปลุกให้เราลุกขึ้นมารักตัวเอง ปล่อยของที่ไม่คู่ควรกับเราทิ้งไป และเปิดรับสิ่งดี ๆ เข้ามาใหม่ 5 ข้อคิด สร้างพลังบวก จากหนังสือ Good Vibes, Good Life ที่คนอ่านทั้งโลกบอกว่าช่วยเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีมองชีวิตได้จริง ใครกำลังท้อ กำลังหมดพลัง หรือกำลังหาวิธีเติม Good Vibes ให้ตัวเอง ลองอ่านและเก็บไว้ในใจนะคะ You attract what you are, not what you want. คุณดึงดูดสิ่งที่คุณเป็น ไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากได้   นี่คือประโยคที่เป็นแกนหลักของกฎแรงดึงดูด (Law of Attraction) ที่ Vex

ในยุคนี้ที่ทุกคนมีสื่อเป็นของตัวเอง เราคุ้นเคยกับ social media เป็นอย่างดี มองเห็นโอกาสการทำธุรกิจมากกว่าเมื่อก่อน ทำให้ใคร ๆ ก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คำว่า “Entrepreneur” หรือ ผู้ประกอบการ จึงกลายเป็นเป้าหมายสำหรับคนที่ต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อาจจะใหญ่หรือเล็กก็ได้ค่ะ แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการณ์มือใหม่หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือ ความสำเร็จของผู้ประกอบการไม่ได้เริ่มต้นแค่จาก “ไอเดียดี” หรือ “เงินทุนเยอะ” เท่านั้น หากแต่เริ่มต้นจาก กรอบความคิด (Entrepreneur Mindset) ภายในตัวเอง และ Entrepreneur skills ทักษะที่สำคัญของการเป็นผู้ประกอบการณ์ค่ะ   Entrepreneur Mindset หรือ แนวคิดผู้ประกอบการ คือ หัวใจสำคัญที่แยกคนที่ “อยากเป็น” ออกจากคนที่ “ทำได้จริง” เพราะแค่การคิดจะทำธุรกิจใครๆก็คิดได้ แต่เมื่อมีแนวคิดแบบผู้ประกอบการ เราจะมองเห็นโอกาสที่คนอื่นไม่เห็น ผู้ประกอบการณ์ต้องกล้าลองสิ่งใหม่ ๆ ไม่กลัวปัญหา และพร้อมเรียนรู้จากความล้มเหลว จนธุรกิจเติบโต รวมทั้งสามารถปรับตัวได้รวดเร็วเพราะทุกวันนี้กระแสการทำธุรกิจเปลี่ยนเร็วมากจริงๆค่ะ แนวคิดผู้ประกอบการสำคัญยังไง? ถ้าเราขาด Entrepreneur Mindset ที่แข็งแรง เราก็จะล้มเลิกง่าย

“Mindset” หรือ กรอบความคิด คือวิธีที่เรามองโลก มองตัวเอง และตีความสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา บางคนอาจมองปัญหาเป็นอุปสรรคที่ทำให้ไปต่อไม่ได้ ในขณะที่บางคนกลับมองปัญหาเดียวกันเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต นี่คือพลังของ Mindset ที่ซ่อนอยู่ในชีวิตเราค่ะ    การมี Mindset ที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญของการประสบความสำเร็จ เพราะมันคือตัวกำหนดการกระทำ การตัดสินใจ และแม้แต่การแก้ปัญหาเมื่อเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรากำลังเผชิญกับปัญหา หากเราไม่มี mindset ที่ดี ที่พร้อมเติบโต จะทำให้เราท้อแท้กับปัญหา และล้มเลิกไปได้ง่ายๆค่ะ การมี Mindset ที่ดีจะรวมถึงการคิดเชิงบวก ที่ช่วยให้เรายืดหยุ่น อดทน และยอมรับความล้มเหลวของตัวเองได้ หลายๆคนเลือกที่จะล้มแล้วลุกขึ้นสู้ต่อ แต่มีอีกหลายคนที่ล้มแล้วยอมแพ้ไปเลย Mindset จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ Fixed Mindset vs. Growth Mindset Fixed Mindset (แนวคิดแบบตายตัว) กลุ่มคนที่มีแนวคิดนี้จะเชื่อว่า ความสามารถและทักษะเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและไม่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นหรือเก่งขึ้นได้ กลัวความล้มเหลว หลีกเลี่ยงปัญหา และไม่ค่อยกล้าพัฒนาตัวเอง เพราะยึดติดกับความเชื่อที่ว่าตัวเองมีความสามารถอยู่แค่นี้ เช่น ถ้ามีใครให้ feedback ในการทำงาน Fixed

เคยสงสัยมั้ยคะว่า ทำไมบางคนรักแล้วดูมั่นคงจัง บางคนกลัวการผูกมัด หรือบางคนเกาะติดกับแฟนมากเกินไป พฤติกรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับ Attachment Style ของเราค่ะ Attachment Style คืออะไร มันคือรูปแบบความสัมพันธ์ที่เกิดจากประสบการณ์วัยเด็ก เวลาเราเป็นเด็ก เราได้รับการตอบสนองอย่างไร เมื่อเราร้องขอความรัก เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราแสดงออกเมื่อเรามีความผูกพันในวัยผู้ใหญ่ Attachment Style กระทบทั้งความรักกับคู่ของเรา มิตรภาพระหว่างเพื่อน รวมถึงการทำงานร่วมกับคนอื่น ประเภทของ Attachment Style มีอะไรบ้าง? 1. Secure Attachment (ปลอดภัย) ความสัมพันธ์ลักษณะนี้จะแสดงออกถึงการไว้วางใจเป็นอิสระแต่ก็พึ่งพาได้ไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลาไม่ต้องคอยอัพเดทตลอดทั้งวันหรือถ้ามีคนนึงห่างออกไปก็ไม่ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าเค้าไปไหนจะไปมีคนอื่นรึเปล่าเช่นหากแฟนบอกว่าวันนี้ไม่ว่างความผูกพันแบบปลอดภัยจะมองว่าเค้าไม่ว่างไม่คิดต่อว่าเค้าจะไปไหนกับใครต้องคอยโทรตาม text ตาม   2. Anxious Attachment (กังวลใจ) ความผูกพันแบบ Anxious Attachment ต้องการการยืนยันความรักตลอดเวลา เช่นคอยถามว่ารักเรามั้ย เกิดจากการต้องการความใกล้ชิด กลัวถูกทิ้ง โดยอาจจะสังเกตุพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เช่น เช็คข้อความรัวๆ ไม่มั่นใจ ในความรักของอีกฝ่าย พยายามวิ่งไล่ตาม เพื่อคอยรั้งอีกฝ่ายไว้    3. Avoidant Attachment

  การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราเข้าใจ และเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ บางครั้งก็รู้สึกท้อแท้ เหนื่อย หลายๆครั้งก็ไม่สามารถจัดการความรู้สึกท้อแท้ได้ แต่ก็ต้องสู้ต่อไป ทั้งกับการทำงาน ปัญหาเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข สะสมรวมเป็นความท้อแท้ในใจ แสดงออกผ่านทางร่างกาย ความคิด และคุณภาพการใช้ชีวิตที่ลดลง พลอยขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะคะ  บางครั้งชีวิตก็เหมือนทางเดินที่ชันและยาวไกล มองไม่เห็นเส้นชัย เพราะเมื่อเราผ่านเส้นชัยแล้ว เราก็ต้องเดินทางอีก จนผ่านเส้นชัยไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้ หากใจเราไม่เข้มแข็ง ไม่แข็งแรงพอ มันจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ เหนื่อยล้า และอยากหยุดพัก วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกแบบนี้ และวิธีที่จะช่วยปลอบใจ เติมพลังใจให้กลับมาใหม่อีกครั้ง ทำไมถึงรู้สึกท้อแท้กับชีวิตบ่อยๆ ความท้อแท้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ในหลายๆครั้งที่เราอาจจะรู้สึกแบบนั้นซ้ำๆ เช่น ท้อกับเรื่องๆนึง ทำให้เราไม่มีแรงใจสู้ต่อ เรื่องอื่นๆก็เข้ามา สะสมความท้อแท้ให้กับเรา โดยที่เราไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริง ความท้อแท้มักเกิดจากความคาดหวังที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ ที่สะสมจากความกดดันในเรื่องงาน ครอบครัว ความสัมพันธ์ เรื่องส่วนตัวต่างๆ ความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในชีวิตก็ทำให้เรารู้สึกสับสนและท้อแท้ได้ง่ายขึ้น เพราะคนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงค่ะ ลองมาดูกันว่าสิ่งที่ทำให้เราท้อแท้มีอะไรบ้าง:   1. ปัญหาและอุปสรรคที่ไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาซ้ำซาก: มักจะมีคำพูดในใจว่า ​“อีกแล้วหรอ”,

หลังจากพบว่าตัวเองเริ่มไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตประจำวัน เครียดง่าย อ่อนเพลียบ่อย ใช้พลังงานเยอะในแต่ละวัน พลอยเลยเริ่มกลับมาดูว่า ตรงไหนที่มันเป็นปัญหาอยู่บ้าง ได้ไปฟัง podcast อ่านหนังสือมาเพิ่ม แนะนำให้เลิกเล่น social media หลังจากตื่นนอนทันที ซึ่งเป็นกิจวัตรของเรามาโดยตลอด ตื่นมาขอไถมือถือก่อน หลังจากคิดว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว เลิกไถมือถือหลังตื่นนอนโดยเด็ดขาด ก็เลยต้องหา Routine ที่ Healthy กับสุขภาพกาย สุขภาพใจมาแทน อย่างแรกที่คิดออก คือเรามักจะนั่งสมาธิช่วงก่อนนอน หรือไม่ก็หลังจากทำอะไรๆช่วงเช้าเสร็จ เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้น เราลองเปลี่ยนมานั่งสมาธิหลังจากตื่นนอนเลยดีมั้ย รวมการ manifest กับฟัง positive affirmation ไปด้วยเลย พลอยเปิด youtube video เพื่อฟัง guide meditation และ guide manifestation รู้สึกมีสมาธิมากขึ้น นั่งสมาธิได้นานขึ้น ชีวิตในแต่ละวันเริ่มดีขึ้น โฟกัสกับการทำงานได้มากขึ้น แล้วยังคิดถึง positive affimation ที่ฟังตอนเช้า ระหว่างวันที่เรารู้สึก negative ก็คอยดึงสติตัวเองไปสู่ด้านบวกง่ายขึ้น การฟัง

เราอาจจะได้ยินคำว่า คิดบวก อยู่บ่อยๆ ในหลากหลายสถานการณ์ และเราอาจจะเคยสับสนว่า การคิดบวก คือการมองโลกในแง่ดีมั้ย เพราะฟังดูแล้วการคิดบวกดูเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ ทำให้เราไม่สามารถคิดบวกได้ในเวลาที่จำเป็น เราจะขออธิบายความหมายของการคิดบวก ข้อดีต่างๆ ถ้าเราได้ลองฝึกการคิดบวกดู รวมถึงวิธีเล็กๆน้อยๆเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนคิดบวก พร้อมรับกับสถานการณ์ต่างๆในชีวิตค่ะ คิดบวก คืออะไร? คิดบวก สำหรับพลอยแล้ว คือแนวทางการใช้ความคิดในเชิงบวก ต่อมุมมองและทัศนคติ ในเรื่องสำคัญต่างๆในชีวิต ไม่ว่าเราจะเผชิญกับปัญหา ความล้มเหลว หรือสถานการณ์ยากลำบาก เราจะมองหาด้านดีในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น การคิดบวกไม่ได้หมายความว่าเราต้องปฏิเสธความจริงหรือปัญหาในชีวิต การมองโลกในแง่ดี เช่น มองว่า เดี๋ยวปัญหาก็จะดีขึ้น หรือผ่านพ้นไป โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มันคือการเรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาด้วยมุมมองที่พร้อมแก้ปัญหา มองหาโอกาสในปัญหา และเปิดโอกาสให้ตัวเองเติบโต เพราะความคิดของเราคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่จะกำหนดทิศทางชีวิตของเรา เมื่อเราเลือกที่จะมองสิ่งต่าง ๆ ด้วยทัศนคติเชิงบวก เราสามารถสร้างพลังในตัวเองเพื่อรับมือกับความล้มเหลว สร้างแรงบันดาลใจ และดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตได้ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่า “คิดบวก” สามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้อย่างไร พร้อมทั้งเสนอแนวทางปฏิบัติที่คุณสามารถเริ่มต้นได้ทันที เพื่อเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นพลังที่จะนำพาคุณไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าและเต็มไปด้วยความสุข การคิดบวก เปลี่ยนแปลงชีวิตเราอย่างไรได้บ้าง การเริ่มต้นวันด้วยคำพูดเหล่านี้ช่วยสร้างพลังบวก เสริมความมั่นใจ และทำให้เราพร้อมเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ

จากการได้อ่านหนังสือ atomic habits มา แล้วเราได้เอา key takeaway จากมุมมองของเราเองนะคะ มาลองทำตามดู เราอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะคาดหวังว่า หนังสือจะมีจุดเปลี่ยนให้กับชีวิตเรา ก่อนหน้านี้เราเป็นคนที่เริ่มทำสิ่งใหม่ๆแล้วล้มเลิกตลอด คือตั้งใจทำ ไม่ได้ผลตามที่หวัง ก็เลิกทำ แล้วก็กลับมาทำใหม่ ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เราเลยต้องการเปลี่ยนตัวเองให้เริ่มทำสิ่งที่ค้างไว้ให้สำเร็จ สิ่งที่เรานำมาใช้จาก atomic habits เปลี่ยนนิสัย 1 อย่าง ทำให้มันง่ายเข้าไว้ มีแรงจูงใจที่ชัดเจน นิสัย 1 อย่างที่เราเห็นว่าสำคัญ เป็นนิสัยที่จะทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เช่น การตื่นเช้า ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ เข้านอนตามเวลา concept คือนิสัย 1 อย่างที่จะทำให้เรามี motivation ในการทำสิ่งอื่นๆ รวมถึงรักษา momentum ในการทำนิสัยนั้นให้ต่อเนื่องโดยเอานิสัยที่เราต้องการเพิ่มเข้าไปไปผูกกับนิสัยที่เราทำเป็นประจำ ยกตัวอย่างนะคะ  นิสัยที่พลอยต้องการทำให้สำเร็จ คือการออกกำลังกาย หลังจากวนเวียน ทำๆเลิกๆ จนในที่สุด หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ พลอยเลยไปลงคอร์ส training กับ